Page 59 - ซอสองสายไทย : ณณฐ วิโย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
P. 59
บทที่ ๑ ภูมิหลังซอไทย ๔๑
ราตรีเทียนทีปแจ้ง เจาะงาม
มัวม่วนนนตรีตาม ติ่งทร้อ
อุดสากั่นโลงยาม ชักชอบ ชื่นเอ่
บุญพี่บ่เปืองป้อ เปล่าซ้ำเซาทรวง
(ประเสริฐ ณ นคร. ๒๕๑๖ : ๘๕)
ื้
หรือในตำนานพนเมืองเชียงใหม่ ฉบับวัดพระงาม ผูกที่ ๘ กล่าวถึงความรุ่งเรืองของ
เวียงรัตนติงสาเชียงใหม่ ตลอดจนความเกษมสำราญมีดนตรีประโคมเป็นที่น่าสนุกสนาน โดยบรรดา
เครื่องดนตรีเหล่ามี “ธะล้อ” ปรากฏอยู่ด้วย ดังนี้
“..สนุกสุขสานต์ กินทานเหล้นมโหรสพ พอยลาม ช้อย ซอ
้
สี่บทกั่นโลง ดีดสีตีเป่า ขับฟอนต่าง ๆ เสียงภิภาท ค้อง กลอง ขลุ่ย แน แตร
ี
ิ
ั
เหิน แคน ค้อย ติ่ง ธะล้อสีซอ เพยะ พณ ปัณเฑาะว์ หอยสังข์ เป็นอน
สนั่นนันเนืองอุขะหลุกชู่ฅ่ำเช้า บ่หม่นหมองเส้าในสาสนา...”
(ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ สถาบันราชภัฏเชียงใหม่. ๒๕๓๘ : ๑๕๔)
โดยการสันนิษฐานชื่อที่ใช้เรียกเครื่องดนตรีนี้น่าจะมาจากภาษาขอมว่า “ทรอ” ซึ่ง
ทางภาคกลางอานว่า “ซอ” แต่ทางล้านนาแยกเสียงอานเป็นสองพยางค์ ทรอ–ทะลอ–ธะลอ–ธะล้อ–
่
่
ี
สะล้อ เดิมสะล้อที่ใช้กันในหมู่ชาวบ้านนั้น ยังไม่มีการกำหนดขนาดที่ชัดเจน มีเพยงระบบเสียงลูกสาม
ลูกสี่ ในปัจจุบันนี้ เจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่ ได้ปรับปรุงสะล้อให้มีขนาดที่แตกต่างกัน ๓ ขนาด คือ
สะล้อหลวง สะล้อกลาง และสะล้อเล็ก โดยที่นิยมบรรเลงกันอย่างแพร่หลาย คือ สะล้อหลวง และ
สะล้อกลาง ส่วนสะล้อเล็กไม่ค่อยเป็นที่นิยม
สะล้อใหญ่ คันทวนยาวประมาณ ๗๕-๘๐ เซนติเมตร หน้าซอกว้างประมาณ ๑๓-
๑๔ เซนติเมตร ลีลาในการบรรเลงไม่ค่อยมีลูกเล่นมากนัก มีลักษณะการไล่เสียงเหมือนกับสะล้อเล็ก
แต่เสียงจะทุ้มต่ำกว่า โดยตั้งเสียงแบบลูกสี่ หากเทียบเป็นเสียงสากล คือ สายทุ้มเป็นเสียง ซอล (G)
สายเอกเป็นเสียง โดสูง (C)
สะล้อกลาง คันทวนยาวประมาณ ๗๐-๗๕ เซนติเมตร หน้าซอกว้างประมาณ ๑๒
เซนติเมตร ลีลาในการบรรเลงจะสอดรับกันระหว่างสะล้อหลวง และสะล้อเล็ก ในวงสะล้อซึงทั่วไป
นิยมให้สะล้อกลางเป็นตัวขึ้นเพลง และนำเพลง โดยตั้งเสียงแบบลูกสาม หากเทียบเป็นเสียงสากล คือ
สายทุ้มเป็นเสียง โดสูง (C) สายเอกเป็นเสียง ซอลสูง (G)
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

