Page 31 - ซอสองสายไทย : ณณฐ วิโย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
P. 31

บทที่ ๑ ภูมิหลังซอไทย        ๑๓







                              คำแปล
                                     ๑๗. ไรญิกพู้น เมื่อจักเข้ามาเวียงเรียงกันแต่อไร-

                                                                                     ิ
                                     ๑๘. ญิกพู้นเท้าหัวลาน ดงบงคมกลอง ด้วยเสียงพาดเสียงพ-
                                     ๑๙. ณ เสียงเลื้อนเสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจั-

                                     ๒๐. กมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน เมืองสุ-

                                                                         (กรมศิลปากร. ๒๕๔๗ : ๒๒)


                                     จากข้อความดังกล่าวนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าในสมัยสุโขทัยนั้น ชาวบ้านมีความร่มเย็น
                                                                                              ั
                       ผาสุกสนุกสนาน เล่นดนตรีและขบร้องกันอย่างรื่นเริงบันเทิงใจทั่วไป ชาวเมืองสุโขทัยกบดนตรีมีความ
                                                  ั
                       ใกล้ชิดกันมาก โดยเป็นผู้เล่นดนตรีเอง ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังอย่างในสมัยหลัง ๆ มา

                                     ทั้งนี้ จากข้อความในศิลาจารึกที่ว่า “ดํบงคํกลอง ด้วยเสียงพาดเสียงพณ” มนตรี
                                                                                                 ิ
                       ตราโมท (๒๕๐๗ข : ๓๘) ได้อธิบายความหมายว่า ระดมประโคมด้วยเสียงพาทย์เสียงพณ โดยเสียง
                                                                                                ิ
                                                                      ั
                       พาทย์ได้แก่เสียงเครื่องบรรเลงจำพวกตีเป่า แม้อนเดียอนเป็นต้นกำเนิดคำว่า “พาทย์” ก็ใช้คำว่า
                                                                ิ
                       “ปัญจวาทย” และ “ปัญจดุริยางค์” แก่วงบรรเลงที่มีแต่เครื่องตีกับเครื่องเป่าเท่านั้น ส่วนคำว่า
                                                                                                       ี
                                                                                                    ิ
                       “พณ” ก็เป็นคำที่ใช้เรียกเครื่องดีด โดยเครื่องดีดที่เรียกว่าพณในสมัยสุโขทัยนั้น ก็น่าจะเป็นพณเพยะ
                         ิ
                                                                        ิ
                        ิ
                                                                                           ิ
                       พณน้ำเต้า กระจับปี่ และได้อธิบายเพมเติมเกี่ยวกับเสียงพณที่ปรากฏนี้ว่า เสียงพณในศิลาจารึกนั้น
                                                                       ิ
                                                      ิ่
                       คงจะไม่ได้หมายเฉพาะเครื่องดีดอย่างเดียว หากแต่หมายถึงเครื่องบรรเลงจำพวกมีสายทุกชนิด
                       ทั้งที่ดีดและสีเป็นเสียง อย่าว่าแต่ในสมัยสุโขทัยเลย แม้ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง ก็ยังมีคำว่า
                       “พิณสี” ดังในบทร้องเพลงเทพนิมิตว่า
                                            พระทรงฟังวังเวงด้วยเพลงขับ   ทั้งร้องรับดีดดิ้นด้วยพิณสี

                                     เสนาะคำล้ำทิพวารี                   หวนประหวัดกษัตรีตรอมฤทัย


                                                             ิ
                                     สอดคล้องกับที่ เฉลิมศักดิ์ พกุลศรี (๒๕๔๘ : ๔๔-๔๕) ได้อธิบายความหมายของ
                       “พิณ” ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต คำว่า “วีณา” ไว้ว่า

                                     วีณา เป็นคำในภาษาสันสกฤต แต่เดิมนั้นมีความหมายรวมถึงเครื่องดนตรีเกือบทุก

                       ตระกูล ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสายประเภทดีดและสี หรือเครื่องเป่า ล้วนแล้วแต่เข้าข่ายของคำว่าวีณา
                       ทั้งสิ้น จะยกเว้นก็แต่เพยงเครื่องดนตรีประเภทเครื่องหนังเท่านั้น ทั้งนี้ วีณา เป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่
                                          ี
                       ที่สุดเครื่องหนึ่งของอินเดีย ซึ่งปรากฏพบตั้งแต่สมัยพระเวท (๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช-คริสต์ศตวรรษ

                       ที่ ๒) เครื่องดนตรีชนิดนี้ปรากฏพบในคัมภีร์ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับดนตรีโดยตรง และคัมภีร์ในแขนง
                       อน ๆ เช่น นาฏยศาสตร์ พระเวท มหาภารตะ รามเกียรติ์ วรรณกรรมสังคัมของชาวทมิฬ หรือ
                        ื่
                       แม้กระทงพระไตรปิฎกของชาวพุทธ ในอดีตนั้นถึงแม้คำว่า วีณา จะครอบคลุมความหมายที่กว้างก็จริง
                              ั่


                                                                                      มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
   26   27   28   29   30   31   32   33   34   35   36