Page 34 - ซอสองสายไทย : ณณฐ วิโย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
P. 34

๑๖        ซอสองสายไทย







                                 ุ
                                                            ิ
                           ว่าซอพงตอคงเป็นซอสามสาย และ พณ ที่เล่นกับซอสามสายตามปกติ
                           ก็คือ กระจับปี่ นั่นเอง ถ้าอย่างนั้นกระจับปี่นี่ก็เป็นพณชนิดโบราณมาก
                                                                        ิ
                           ทีเดียว ทีนี้ดนตรีประเภทเครื่องสี จะมีซอสามสายอย่างเดียวหรือว่ามีซอ
                            ื่
                           อนด้วย เข้าใจว่ามีซอสามสายอย่างเดียว แต่ความจริงจะใช่หรือไม่ก็
                           ไม่ทราบแน่ เพราะหนังสือไตรภูมิพระร่วงเขียนไว้แต่เพยงว่า “ดีดพณและ
                                                                                   ิ
                                                                         ี
                                                               ุ
                                ุ
                           สีซอพงตอ” ถ้าพณคือกระจับปี่แล้ว ซอพงตอก็จะต้องเป็นซอสามสาย
                                          ิ
                           อย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากซอกับพณที่เล่นด้วยกันก็เห็นมีแต่ซอสามสาย
                                                         ิ
                           กับกระจับปี่เท่านั้น ในสมัยอยุธยายังมีมโหรีเครื่องสี่ ซึ่งเข้าใจว่าคงจะ
                           นิยมเล่นติดต่อมาจากสมัยสุโขทัย มโหรีเครื่องสี่นี้ประกอบด้วย กระจับปี่

                           ซอสามสาย ทับ และคนร้องซึ่งตีกรับพวงไปด้วย เข้าใจว่าจะเป็นรายที่

                           กล่าวถึงในหนังสือไตรภูมิพระร่วงนี้เอง ที่ว่าซอพงตอคือซอสามสายก็เพราะ
                                                                   ุ
                                                                             ุ้
                           ซอชนิดนี้มีรูปร่างยาว ๆ เท้าแหลม และมีกะโหลกเป็นกระพงอยู่ตรงกลาง
                                      ุ
                           มองดูคล้ายพงของซอ นอกจากนั้นสำเนียงของซอก็ออกจะดัง “ต้อ ๆ”
                           อยู่ด้วย เดิมอาจจะเรียกว่า พุงต้อ หรืออะไรสักอย่างหนึ่งก็เป็นได้”

                                                               (อุทิศ นาคสวัสดิ์. ๒๕๓๐ : ๑๕๖)


                              ส่วนในตอนที่กล่าวถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อนเป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์องค์หนึ่งที่
                                                                 ั
                              ี
               ชื่อ “พระจุฬามณเจดีย์” ซึ่งเหล่าเทพยดาทั้งหลายต่างได้นำเครื่องดนตรีมาบรรเลงถวายเป็นพุทธบูชา
               ทุกวัน ก็ปรากฏข้อความที่กล่าวถึงเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสี ความว่า

                                     “นอกพระนครไตรตรึงษ์ฝ่ายอาคเนย์ทิศ มีพระเจดีย์เจ้า

                           พระองค์ ๑ ทรงพระนามชื่อพระจุฬามณีเจดีย์เจ้าแล ...แลเทพยดาทั้งหลาย

                           ถือเครื่องเป่าแลตีดีดสีคีตสรรพดุริยดนตรีทั้งหลายไปบำเรอถวายบูชา
                           พระเจดีย์เจ้าทุกวารบมิขาด...”


                                                              (พระญาลิไทย. ๒๕๖๔ : ๑๕๗)


                              นอกจากนี้ ยังปรากฏในตอนที่กล่าวถึงพระอนทร์เจ้าผู้รู้ธรรมในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
                                                                   ิ
               ที่ได้ขึ้นบนธรรมาสน์เพอเทศนาธรรมโปรดเหล่าเทพยดา ณ สุธรรมาเทวสภา โดยเมื่อใดก็ตามที่
                                   ื่
                    ิ
               พระอนทร์เจ้าทรงเทศนาธรรม ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ก็จะพาบริวารไปเฝ้าทั้ง ๔ ทิศของสุธรรมา
                                               ็
               เทวสภาคยศาลานั้น และหมู่คนธรรพ์กจะนำเครื่องดนตรีทั้งหลายมาบรรเลงแล้วร่ายรำ อยู่ที่ปลายเขา
               กำแพงจักรวาลทั้ง ๔ ด้าน เพื่อถวายแก่พระอินทร์เจ้า ดังมีความว่า





                     ณณฐ วิโย
   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38   39