Page 37 - ซอสองสายไทย : ณณฐ วิโย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
P. 37
บทที่ ๑ ภูมิหลังซอไทย ๑๙
ิ
ู้
เช่น ซอด้วง ซออ ฉาบ แฉ่ง รับมาจากอนเดีย เช่น สังข์ บัณเฑาะว์ ตะโพน กลองชนะ กลองแขก
กลองสองหน้า รับมาจากอนเดียผ่านมาทางขอม เช่น พิณน้ำเต้า กระจับปี่ รับมาจากมอญ ได้แก จะเข้
ิ
่
รวมถึงรับมาจากเปอร์เซีย เช่น ซอสามสาย ทับ ปี่ชวา ปี่ไฉน เป็นต้น ต่อมาเมื่อได้ติดต่อค้าขายกับ
ประเทศทางยุโรปอย่างฮอลันดา จึงได้รับเอาเครื่องดนตรีอย่างแตรฝรั่งเข้ามาใช้ในวงประโคมชั้นสูง
ร่วมกับสังข์ เรียกว่า วงแตรสังข์ อย่างไรก็ตามในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ไม่ได้นำเอาเครื่องดนตรีของ
ต่างชาติมาเสียทั้งหมด แต่ได้มีการคิดประดิษฐ์สร้างเครื่องดนตรีจากภูมิปัญญาของตนเองขึ้นเช่นกัน
เช่น ปี่ใน ฆ้องวง ระนาด และซออู้ เป็นต้น (พงษ์ศิลป์ อรุณรัตน์. ๒๕๕๐ : ๓๐-๓๑)
สำหรับหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีที่ปรากฏในสมัยอยุธยานี้
มีทั้งเอกสารและโบราณวัตถุ เอกสารที่สำคัญ ๆ ได้แก่ กฎมณเฑียรบาล ซึ่งตราไว้ในรัชสมัยของ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) และบันทึกหรือจดหมายเหตุของชาวต่างชาติ
โดยเฉพาะจดหมายเหตุลาลูแบร์ ซึ่งเป็นจดหมายเหตุพงศาวดารที่กล่าวถึงราชอาณาจักรสยามใน
ปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. ๒๒๓๐ โดย มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ เอกอัครราชทูต
ผู้มีอำนาจเต็มของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส หรือในบันทึกของนิโกลาส แชรแวส ชาวฝรั่งเศส
ั
และในบันทึกจดหมายเหตุของนายฟรังซัวส์ องรี ตุรแปง ชาวฝรั่งเศส สำหรับหลักฐานทางโบราณวัตถุ
ส่วนใหญ่เป็นประเภทจิตรกรรมและประติมากรรม เช่น ภาพลายรดน้ำ ภาพเขียน เป็นต้น
โดยหลักฐานซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่กล่าวถึงเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสี ตระกูล
“ซอ” จะมีปรากฏอยู่ในกฎมณเฑียรบาล ตอนที่ ๒๐ ซึ่งตราขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ที่ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑ (ราชบัณฑิตยสถาน. ๒๕๕๐ : ๑๒๐, ๑๘๑) ความว่า
“...อนึ่งในท่อน้ำในสระแก้ว ผู้ใดขี่เรือคฤเรือปทุนเรือกูบแลเรือ
มีสาตราวุธ แลใส่หมวกคลุมหัวนอนมา ชายหญิงนั่งมาด้วยกัน อนึ่งชเลาะ
ตีด่ากัน ร้องเพลงเรือเป่าปี่ขลุ่ย สีซอดีดจเข้กระจับปี่ตีโทนทับโห่ร้องนี่นัน
ิ
อนึ่ง พริยหมู่แขกขอมลาวพม่าเมงมอญมสุมแสงจีนจามชวานานาประเทษ
ทังปวง แลเข้ามาเดิรในท้ายสนมก็ดี ทังนี้ไอยการขุนสนมห้าม ถ้ามิได้ห้าม
ปรามเกาะกุมเอามาถึงศาลาให้แก่เจ้าน้ำเจ้าท่า แลให้นานาประเทษไปมา
ในท้ายสนมได้ โทษเจ้าพนักงานถึงตาย...”
ข้อความดังกล่าวนี้ เป็นบทบัญญัติซึ่งกำหนดโทษแก่ผู้ที่เล่นดนตรีเพลิดเพลินเกิน
ขอบเขตเข้าไปถึงในเขตพระราชฐานขณะล่องเรือผ่านนั้น ปรากฏว่ามีชื่อเครื่องดนตรีต่าง ๆ ระบุไว้
ได้แก่ ปี่ ขลุ่ย ซอ จะเข้ กระจับปี่ โทน ทับ ซึ่งย่อมแสดงให้เห็นว่าการดนตรีสมัยอยุธยานี้มี
ความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าแต่ก่อนหรือเมื่อครั้งกรุงสุโขทัยเรืองอำนาจ เพราะแม้แต่ประชาชนทั่วไปก็
ู้
นิยมเล่นดนตรีกันมาก ทั้งนี้ คำว่า “สีซอ” ที่กล่าวถึงนั้น น่าจะเป็นซอด้วงและซออมากกว่าที่จะเป็น
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

