Page 42 - ซอสองสายไทย : ณณฐ วิโย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
P. 42
๒๔ ซอสองสายไทย
ในหนังสือเรื่องศิริวิบุลกิตติ์ ซึ่งเป็นวรรณคดีนิทานที่มีเค้าโครงเรื่องมาจาก
ั
ปัญญาสชาดก ชื่อสิริวิบุลกิตติชาดก ประพนธ์โดยหลวงศรีปรีชา (เซ่ง) ซึ่งแต่งเป็นร้อยกรองในแบบ
ของกลอนกลบท ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นตำรากลอนกลบทที่สำคัญเรื่องหนึ่ง เดิมสันนิษฐานว่า
ศิริวิบุลกิตติ์ เป็นตำรากลอนกลบทของเก่าแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่แต่งขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัว
บรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๕-๒๓๐๑) โดยในหนังสือนั้นบอกไว้ว่า หลวงศรีปรีชา ชื่อเซ่ง มีตำแหน่งเป็นโหร
ในสมเด็จพระบัณฑูร หรือกรมพระราชวังบวรพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง สันนิษฐานว่ากรมพระราชวัง
้
บวรพระองค์นั้นน่าจะเป็น เจ้าฟาธรรมธิเบศ (กุ้ง) เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า พระองค์ทรงเป็นกวีและ
ทรงส่งเสริมกวีอย่างดียิ่ง โดยในบทร้อยกรองนี้ได้มีการกล่าวถึงเครื่องดนตรีตระกูลซอ อยู่ในเนื้อหา
ิ
ตอนที่สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้า (พระเจ้าสิริวิบุลกิตติ) จัดงานพระราชพธีถวายพระเพลิง
พระบรมศพของพระนางตาปสินีสิริมดี พระราชมารดา ซึ่งมีการละเล่นมหรสพสมโภชตลอดสัตวาร
หรือเจ็ดวัน ประกอบด้วย ละคร โขน หุ่นชัก งิ้ว ดนตรี ปี่พาทย์ เป็นต้น ดังมีข้อความกล่าวไว้ว่า
จัดแจงแต่งการเสร็จ ชักศพเสด็จเข้าเมรุทอง
เล่นงานแต่งการฉลอง มโหรสพครบสัตวาร
ฆ้องกลองก็ก้องกึก ครึกครื้นเพลงก็เครงขาน
เสียงเพราะเสนาะหวาน สะท้านลั่นสนั่นดัง
พวกพราหมณ์ก็เป่าแตร เสกเซ็งแซ่ด้วยศัพท์สังข์
ปี่พาทย์ระนาดทั้ง ฆ้องประโคมอยู่ครื้นเครง
จีนงิ้วก็จับง้าว ก้าวเป็นท่าดูโถงเถง
ม้าล่อก็ลั่นเพลง เหล่าพวกซอก็ซอสี
พวกพิณก็ดินพิด เจ้าพวกฉาบก็ตาบฉี
พวกกรับก็ตับกรี เสนาะเสียงสำเนียงครวญ
(มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๕๒ : ๑๒๓)
นอกจากนี้ จดหมายเหตุ นายฟรังซัวส์ องรี ตุรแปง ชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้รวบรวม
ั
เหตุการณ์และเรื่องราวประวัติศาสตร์แห่งพระราชอาณาจักรสยามในช่วงก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตก
้
ราวปีพุทธศักราช ๒๓๐๐ ถึงสมัยต้นกรุงธนบุรีไว้อย่างละเอียด ตามขอมูลที่ได้รับจากบาทหลวงบรีโกต์
(Brigot) สังฆราชแห่งตาบรากา (Bishop of Tabraca) ประมุขมิสซังกรุงสยาม ที่ถูกส่งตัวมาทำงาน
ในมิสซังสยามตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๒๘๔ (ค.ศ. ๑๗๔๑) โดยได้พำนักอาศัยและเผยแพร่คริสต์ศาสนา
อยู่ในสยามนานหลายปีจนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาแตก เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ (ค.ศ. ๑๗๖๗) โดยในส่วนของ
เนื้อหาที่กล่าวถึงซอของชาวสยามนั้น ได้ถูกกล่าวถึงไว้ในตอนการเล่นหย่อนใจและการมหรสพ
ของชาวสยาม ซึ่งมีข้อความกล่าวไว้ดังนี้
ณณฐ วิโย

