Page 43 - ซอสองสายไทย : ณณฐ วิโย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
P. 43

บทที่ ๑ ภูมิหลังซอไทย        ๒๕







                                            “พวกเด็ก ๆ ลิงโลดด้วยความยินดี เมื่อได้ยินเสียงกลองหรือปี่
                                  ชาวสยามมีซอและซอเสียงต่ำ (basse de viole) ชนิดหนึ่ง ซึ่งเขาดัดแปลง

                                  เปลี่ยนรูป เพื่อทำให้เสียงแหลมขึ้น ซอของเขามีสามสาย แต่ปี่ของเขาเสียง
                                         ้
                                  หวานแพปี่ของเราหลุดลุ่ย จะเข้เป็นแผ่นไม้เจาะ ซึ่งบนหลังมีสายที่ออกเสียง
                                                         ็
                                  อย่างเดียวกันกับ ปซัลเตรีออง (psalterion) ของเรา เขามีกลองสองชนิด
                                  ซึ่งคล้ายกับตังบูร์ เดอ บัสก์ (tambour de basque) ของเราพอใช้ เขาตี
                                  บนถาดทองแดง (basin de cuivre) ซึ่งมีเสียงดังแต่ไม่เพราะ ไม่มีคนทำ

                                  เครื่องดนตรีขาย ใครอยากทำอย่างไรก็ทำตามใจชอบ...”

                                                                   (ตุรแปง, ฟรังซัวส์ อังรี. ๒๕๓๙ : ๗๔)


                                     นอกจากหลักฐานที่มีการกล่าวถึงเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสี ตระกูล “ซอ” และ

                       การละเล่นบรรเลง “ซอ” แล้ว ยังมีเอกสารและหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น

                       มีการประสมวงดนตรีซึ่งมีเครื่องดนตรีตระกูล “ซอ” ประกอบอยู่ด้วยอีกมากมาย เช่น
                                     หนังสือจินดามณี เล่ม ๑ ของพระโหราธิบดีที่แต่งถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

                       (พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑) ซึ่งปรากฏข้อความบรรยายถึงวงมโหรีที่มีการบรรเลงซอร่วมในวงด้วยว่า

                                                   นางขับขานเสียงแจ้ว    พึงใจ

                                            ตามเพลงกลอนกลใน              ภาพพร้อง

                                            มโหรีบันเลงไฉน               ซอพาทย์
                                                                                 ๑
                                            ทับกระจับปี่ก้อง             เร่งเร้ารัญจวน ฯ


                                                                              (กรมศิลปากร. ๒๕๖๑ : ๔๓)


                                     ธนิต อยู่โพธิ์ (๒๕๓๐ : ๑๒๔-๑๒๕) ได้อธิบายถึงโคลงบทนี้ว่า อาจจะเป็นการพรรณนา
                       ถึงวงมโหรีตั้งแต่รัชสมัยพระเอกาทศรถ (พ.ศ. ๒๑๔๘-๒๑๖๓) หรือก่อนหน้านั้น ลงมาจนถึงรัชสมัย

                       สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑) ซึ่งเป็นสมัยที่พระโหราธิบดีแต่งคัมภีร์จินดามณนี้
                                                                                                        ี
                       ทูลเกล้าฯ ถวายก็ได้ ซึ่งวงมโหรีที่กล่าวนี้มีคนเล่น ๕ คน คือ นางขับร้อง (คงตีกรับด้วย) ๑ คน เป่าปี่
                       หรือขลุ่ย ๑ คน สีซอสามสาย ๑ คน ตีทับ ๑ คน ดีดกระจับปี่ ๑ คน โดยคำว่า “ปี่ไฉน” ในโคลงบทนี้

                       ไม่จำเป็นต้องเป็นปี่ไฉนจริง ๆ เพราะคำว่า “ไฉน” บางครั้งก็กล่าวหมายถึงปี่หรือเครื่องเป่า จึงอาจ
                       เป็นเครื่องเป่าชนิดใด ๆ เช่น ขลุ่ย ก็ได้ ดังเช่นที่กล่าวถึงในบทละครเรื่องนางมโนห์ราครั้งกรุงเก่าว่า



                       ๑  ธนิต อยู่โพธิ์ : “ซอพาทย์” อาจหมายถึง บรรเลงซอ คือ สีซอ เช่นคำบาลีว่า วีณาวาทกะ-ผู้ทำให้พิณ

                       ออกเสียง กล่าวคือผู้บรรเลงพณ
                                               ิ

                                                                                      มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
   38   39   40   41   42   43   44   45   46   47   48