Page 47 - ซอสองสายไทย : ณณฐ วิโย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
P. 47

บทที่ ๑ ภูมิหลังซอไทย        ๒๙







                                  ตะโพน กลองทัด (ลูกเดียว) และฉิ่ง ส่วนมโหรีก็มีเครื่องหก ได้แก่ ซอสามสาย
                                  กระจับปี่ โทน รำมะนา ขลุ่ย และฉิ่ง เป็นสิ่งที่รับมาจากปลายสมัยอยุธยา

                                  ส่วนเครื่องสายนั้นถึงอย่างไรก็มีเต็มวง จำนวนจะมากน้อยเพยงใดไม่ทราบ
                                                                                     ี
                                  เพราะว่าเครื่องสายนั้นแม้แต่ในสมัยอยุธยาก็มีสมบูรณ์อยู่แล้ว”



                                     ทั้งนี้ หลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องสี
                       ตระกูล “ซอ” ในสมัยธนบุรีนั้น จะปรากฏหลักฐานในรูปแบบของการประสมวงมโหรี ซึ่งเป็น

                       วงดนตรีไทยที่มีเครื่องดนตรีตระกูล “ซอ” ประสมอยู่ในวงด้วย สันนิษฐานว่ารูปแบบของวงมโหรี
                       ในสมัยธนบุรีนี้น่าจะได้รับอิทธิพลสืบทอดมาจากกรุงศรีอยุธยา

                                     โดยหลักฐานที่กล่าวถึง “วงมโหรี” จะมีปรากฏในจดหมายเหตุความทรงจำของ

                       กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพธิ์) ที่กล่าวถึงกระบวนเรือแห่อัญเชิญพระแกวมรกตและพระบาง
                                                                                         ้
                       จากเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปรับด้วยพระองค์เอง

                       ณ พระตำหนักบางธรณี กรุงเก่า (พระนครศรีอยุธยา) มายังกรุงธนบุรี โดยในหมายรับสั่งจะพรรณนา

                       ถึงกระบวนเรือที่แห่มาจากต้นทาง รวมกับเรือที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไป
                       สมทบ ว่ารวมเรือแห่ทั้งปวง ๒๔๖ ลำ โดยในกระบวนเรือแห่อญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางนี้
                                                                           ั
                       สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้จัดละคร โขน งิ้ว หุ่นลาว ปี่กลองจีน มโหรีฝรั่ง รวมถึงมโหรีไทย
                       ลงเรือสามป้านหรือเรือสำปั้นไปแสดงในกระบวนแห่ ดังมีข้อความว่า


                                                        ั
                                            “ครั้น ณ วันองคาร เดือน ๔ ขึ้น ๒ ค่ำ เสด็จขึ้นไปรับพระแก้ว
                                  มรกต ณ พระตำหนักบางธรณี ครั้นเวลาบ่าย ๓ โมงฯ ทรงฯ ให้แห่ลงมา

                                  นครธนบุรี กระบวนแห่หน้าเครื่องเล่นโขนลงสามป้านหลวงรักษาสมบัติหนึ่ง

                                  งิ้วลงสามป้านพระยาราชาเศรษฐีหนึ่ง หลวงรักษาสมบัติหนึ่ง (รวมงิ้ว) ๒ ลำ
                                  ละครไทยหมื่นเสนาะภูบาลลำหนึ่ง หมื่นโวหารภิรมย์ลำหนึ่ง ละครเขมร

                                        ิ
                                         ิ
                                  หลวงพพธวาทีลงเรือสามป้านลำหนึ่ง ปี่กลองจีนหลวงโชฎึกลำหนึ่ง ญวนหก
                                  ลงเรือญวนลำหนึ่ง หุ่นลาวลงเรือกุแหละลำหนึ่ง ชวารำหน้าลำหนึ่ง
                                  มโหรีไทยหลวงอนุชิตธารา มโหรีฝรั่งหลวงศรียศ มโหรีเขมรพระองค์แก้ว

                                  ลำหนึ่ง...”
                                              (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. ๒๕๖๐ : ๑๕๒)



                                                                                                  ั
                                     อกทั้งยังมีกล่าวไว้ในตอนสมโภชพระแก้วมรกตและพระบาง เมื่อครั้งที่อญเชิญมา
                                      ี
                       ประดิษฐาน ณ โรงพระแก้ว ซึ่งปลูกขึ้นใหม่หลังพระอโบสถวัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) เป็นที่
                                                                     ุ
                       เรียบร้อยแล้ว ความว่า



                                                                                      มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
   42   43   44   45   46   47   48   49   50   51   52